สิ่งแวดล้อม

ฝุ่น PM 2.5 : ฝุ่นพิษ ข้ามพรมแดน ใครต้องรับผิดชอบ

4 ก.ค. 2566

72 views

ขณะที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล สถานการณ์ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในภาพรวมมีแนวโน้มลดลง แต่ประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดที่ติดชายแดน กำลังตกอยู่ใต้สถานการณ์ฝุ่นพิษเข้าสู่วันที่ 3-4 อย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากดาวเทียม ชี้ให้เห็นจุดความร้อนจากการเผาในประเทศเพื่อนบ้าน ที่ส่งผลกระทบต่อไทย

ประชาชนชาว อ. แม่สาย จ. เชียงราย กว่า 200 คน ทั้งภาคธุรกิจเอกชนและภาคประชาชน รวมตัวที่บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอแม่สาย ช่วงเย็นวันที่ 27 มี.ค. เพื่อยื่นหนังสือข้อเรียกร้องต่อนายณรงค์พล คิดอ่าน นายอำเภอแม่สาย เพื่อให้เร่งแก้ไขปัญหาหมอกควันที่รุนแรงในขณะนี้ทั้งระยะสั้น และระยะยาว และขอให้ภาครัฐเจรจากับเมียนมาในการแก้ไขปัญหาหมอกควันที่ข้ามพรมแดนมายังประเทศไทย

ชาวแม่สาย ออกมารวมตัวในวันที่ ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ รายงานการติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศตอน 17.00 น. ว่า ภาคเหนือ เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 40-556 มคก./ลบ.ม. สูงสุดที่ ต. เวียงพางคำ อ. แม่สาย จ. เชียงราย ค่าฝุ่นอยู่ที่ 556 มคก./ลบ.ม.

สมยศ นิตยโรจน์ ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากพิษหมอกควันใน อ. แม่สาย กล่าวว่า ในช่วง 2-3 ปีนี้ปัญหาหมอกควันหนักมาก อยากให้รัฐเข้ามาแก้ไขแบบถาวรไม่ใช่ว่ามาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแล้วปีหน้าก็มีอีก สำหรับสถานการณ์แม่สายหลายวันที่ผ่านมา หมอกควันหนามาก อยากให้รัฐบาลช่วยมาแก้ไขอย่างจริงจัง

"ถ้าไม่ถาวรปีหน้าเราก็ออกมาเรียกร้องแบบนี้อีก ทุกวันนี้ ชาวแม่สายอยู่อย่างทรมาน ทั้งเด็ก และคนชราอยู่อย่างยากลำบาก" สมยศกล่าว

กรมควบคุมมลพิษ คาดการณ์สถานการณ์มาตั้งแต่วันพฤหัส (23 มี.ค.) ว่าพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ มีแนวโน้มที่ควรเฝ้าระวังในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ในช่วงวันที่ 24-27 มี.ค. ที่ผ่านมา

ต่อมาสถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. จังหวัดที่ชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เมียนมา ลาว เช่น เชียงราย แม่ฮ่องสอน ประสบกับสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่สูงเกินค่ามาตรฐาน 15 เท่า ประชาชนหลายพื้นทีโพสต์ภาพท้องฟ้าสีขุ่นที่บริเวณบ้านพักอาศัยของตนเอง

กรมควบคุมมลพิษ คาดการณ์ด้วยว่า ยังต้องเฝ้าระวังฝุ่น PM 2.5 บริเวณพื้นที่ชายแดนติดประเทศเพื่อนบ้าน ไปจนถึงวันที่ 3 เม.ย.

ด้านการดำเนินการของรัฐบาล พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุถึงสถานการณ์ไฟป่าหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามแก้ไขอย่างเต็มที่ ขณะนี้ก็ถือว่าดีขึ้น จุดความร้อนลดลง มีเพียงประเทศเพื่อนบ้านที่ยังคงมีอยู่จำนวนมาก

ส่วนมาตรการบังคับใช้กฎหมายแก้ปัญหาฝุ่นขึ้นอยู่กับผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่จะพิจารณาบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ ยอมรับว่าไม่สามารถบอกได้ว่าโยนหรือไม่โยน แต่เป็นหน้าที่ของสองคนในประเทศไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าฯ กทม. ที่จะไปสั่งการได้ หากประชาชนได้รับผลกระทบ

“แหล่งกำเนิดรู้หมด แต่คุณไม่ทำกันเลย ไม่ร่วมมือกัน ต่อให้สั่งอย่างไรมันก็ไม่ได้ ผมจะไปสั่งให้คุณสั่งไม่ได้ คุณต้องพิจารณาเอง ไปพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการในจังหวัดของตัวเอง มีอำนาจอยู่แล้วทำได้เลย แต่ไม่ได้มีการสั่งจากส่วนกลางไป ถ้าในพื้นที่นั้นลงความเห็นร่วมกันว่าจะไม่ให้รถเข้าไปในเขตเมืองเลยก็ทำ” มท.1 ระบุ

ส่วนการประกาศเป็นเขตพื้นที่ภัยพิบัติ รมว. มหาดไทย ระบุว่า จากการหารือกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พบว่า กรณีฝุ่นละอองแตกต่างจากภัยพิบัติชนิดอื่น เช่น ภัยหนาว เพราะยังไม่มีระเบียบและข้อกำหนดเกี่ยวกับตัวชี้วัดว่าระดับค่าฝุ่นมากน้อยแค่ไหนถึงจะเข้าขั้นเป็นภัยพิบัติ จะประกาศทั้งจังหวัด หรือเป็นบางพื้นที่ ซึ่งจะตามมาด้วยการดูแลประชาชนว่าจะต้องดูแลอย่างไรเพราะยังไม่มีระเบียบออกมา และอาจกระทบไปถึงการท่องเที่ยวด้วย

พล.อ. อนุพงษ์ ยังกล่าวถึงการประสานกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยว่า ทราบว่ามีการดำเนินการอยู่ แต่ไม่ขอลงรายละเอียดเพราะไม่รู้ว่าคุยกันในเวทีใด ร่วมมือกันอย่างไร


จุดความร้อน เมียนมามาอันดับ 1

ขณะที่ในช่วงเช้าวันนี้ (28 มี.ค.) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือจิสด้า เปิดเผยข้อมูลจากดาวเทียมซูโอมิ เอ็นพีพี ของวันที่ 27 มี.ค. ประเทศไทยพบจุดความร้อน 5,396 จุด เพื่อนบ้านอย่างเมียนมา ยังครองแชมป์อยู่ 6,877 จุด, สปป. ลาว 4,076 บาท, กัมพูชา 739 จุด, เวียดนาม 626 จุด และ มาเลเซีย 16 จุด


จิสด้า ระบุว่า "สิ่งหนึ่งที่ต้องเฝ้าระวังที่มักจะมากับเหตุการณ์ไฟป่าและจุดความร้อน คือ PM 2.5... สถานการณ์จุดความร้อนจากประเทศเพื่อนบ้านอาจส่งผลให้เกิด PM 2.5 ได้ในพื้นที่บริเวณชายแดนเนื่องจากได้รับอิทธิพจากกระแสลมที่จะพัดผ่านเข้ามา"

สถานการณ์จุดความร้อนจากเมียนมา บริเวณรัฐฉาน ซึ่งเป็นพื้นที่ติดกับชายแดน อ.แม่สาย ของ จ. เชียงราย สูงต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. ซึ่งพบจุดความร้อนเพิ่มขึ้นในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ไทยพบ 4,376 จุด วันเดียวกันพบจุดความร้อนในเมียนมา 12,581 จุด และลาว 8,535 จุด


ค่าจุดความร้อน ประจำวันที่ 27 มี.ค. 2566

เผชิญหมอกพิษมาตั้งแต่ปี 54 สถิติป่วยเดือน มี.ค. ในเชียงราย 3,478 ราย

หนึ่งในข้อเรียกร้องของเอกชนและภาคประชาชนใน อ.แม่สาย จ.เชียงราย คือ ต้องการผลักดันให้ภาคเอกชนที่ไปส่งเสริมทำการเกษตรฝั่งเมียนมาได้แก้ไขปัญหาเพื่อลดการเผาป่าจนเกิดเป็นฝุ่นละอองพิษ ที่หนักที่สุดในรอบ 10 ปี นับตั้งแต่เกิดปรากฎการณ์หมอกควันและฝุ่นหนาแน่นเมื่อปี 2554 เป็นต้นมา

น.ส. ผกามาศ เวียร์รา รองประธานหอการค้า จ. เชียงราย กล่าวว่า กำลังตรวจสอบว่า สาเหตุฝุ่นละอองที่มากเกิดจากอะไร เกิดการจากเผาในประเทศเพื่อนบ้านหรือในประเทศไทย ก็ต้องมาคุยกัน และในส่วนของประเทศเพื่อนบ้านหลายภาคส่วนจะต้องคุยกันเพื่อหาทางออกของปัญหาร่วมกัน เพราะชาวแม่สายไม่สามารถแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเองได้

ส่วนผลกระทบด้านสุขภาพต่อประชาชน นพ. วัชพงศ์ คำหล้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย เปิดเผยข้อมูลสถิติผู้ป่วยทางเดินหายใจว่า ระหว่างวันที่ 19-26 มี.ค. มีผู้ป่วยใน จ. เชียงราย เข้ามารับการบริการ 3,478 ราย เฉพาะ อ.แม่สาย มีจำนวน 372 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยที่มีอาการแสบจมูก เจ็บคอ ส่วนมากเป็นผู้ป่วยนอกที่เข้ามารับการตรวจรักษา และรับยากลับไป


แม่สาย
ที่มาของภาพ,STR/BBC THAI


เปิดข้อมูลการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของกรีนพีซ

รายงานข้อมูลเรื่อง "ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์: การลงทุนข้ามพรมแดนและมลพิษทางอากาศข้ามพรมแดน" จากองค์กรกรีนพีซ ประเทศไทย ที่เผยแพร่เมื่อเดือน มี.ค. 2566 ระบุว่า "ในช่วงราวสองทศวรรษที่ผ่านมา พื้นที่อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ได้แก่ พื้นที่ภาคเหนือตอนบนของไทย รัฐฉานของเมียนมา ภาคเหนือของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน (สปป.) ลาว ได้กลายเป็นศูนย์กลางของประเด็นมลพิษทางอากาศข้ามพรมแดน"

กรีนพีซ ระบุว่า นี่เป็นผลพวงจากการทำลายพื้นที่ป่าเพื่อขยายการผลิตพืชเศรษฐกิจที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อการส่งออก รวมถึงข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งบ่อยครั้งมีการใช้วิธีการเผาเพื่อกำจัดเศษวัสดุทางการเกษตรหลังจากการเก็บเกี่ยวเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกในฤดูกาลถัดไป

ข้อมูลจากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมโดยกรีนพีซศูนย์ภูมิภาคเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (ภาคเหนือ) คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในรายงาน "ผืนป่า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมลพิษ PM2.5 ข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ปี 2558-2563" ระบุว่า ในช่วงปี 2558-2563 พื้นที่ป่า 10.6 ล้านไร่ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงถูกทำลายและกลายเป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยพื้นที่ราวครึ่งหนึ่งอยู่ในเขตภาคเหนือของ สปป. ลาว

ผลจากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมในรายงานดังกล่าวข้างต้น ยังชี้ให้เห็นชัดเจนว่า จุดความร้อน (hot spot) ที่พบในพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีสัดส่วน 1 ใน 3 ของจุดความร้อนทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

"กล่าวอีกนัยหนึ่ง การขยายตัวของพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในแถบภาคเหนือของ สปป.ลาว และรัฐฉาน (เมียนมา) มีบทบาทสำคัญในฐานะเป็นแหล่งกำเนิดของมลพิษทางอากาศข้ามพรมแดนโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝุ่น PM 2.5"

ทุนไทย กับการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศเพื่อนบ้าน

ข้อมูลเชิงลึกจากกรีนพีซ ชี้ให้เห็นถึงนโยบายของรัฐที่ขนานไปกับการขยายตัวของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง พบว่ามีจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ที่น่าสังเกต คือ ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขงหรือ ACMECS เมื่อครั้งการประชุมอาเซียนเมื่อปี 2546 ซึ่งครั้งนั้น ไทยเป็นผู้ริเริ่มกรอบยุทธศาสตร์นี้ เพื่อลดช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิก

กรีนพีซ ระบุว่า ในกรอบความร่วมมือนี้มีข้อตกลงด้านเกษตรพันธสัญญา ซึ่งหนึ่งในคณะผู้บริหารระดับสูงของเจริญโภคภัณฑ์ ในขณะนั้นได้ดำรงตำแหน่งประธานสภาธุรกิจ ACMECS โดยกรีนพีซอ้างว่า กรอบข้อตกลงนี้ ทำให้บริษัทเจริญโภคภัณฑ์เป็นผู้ประกอบการรายแรกที่ริเริ่มลงทุนอุตสาหกรรมเกษตรภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญากับเกษตรกรในประเทศเพื่อนบ้าน

กรีนพีซ ยังอ้างข้อมูลด้วยว่า พบความเชื่อมโยงของผู้ประกอบการจากไทยในประเทศเพื่อนบ้าน ปรากฎชัดเจนในเมียนมา จากรายงานประจำปี Grain and Feed Annual (2016) เกี่ยวกับธัญพืชและพืชอาหารสัตว์ของเมียนมา โดยกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา ระบุว่า 60-70% ของเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดในเมียนมา เป็นเมล็ดพันธุ์ภายใต้การจัดสรรของบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ Myanmar CP Livestock Company

ทั้งนี้ ในรายงานความยั่งยืน ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ประจำปี 2564 มีธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ทั้งในและต่างประเทศจำนวน 20 บริษัท ในจำนวนนี้ มีบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในเมียนมา 2 บริษัท ได้แก่ MYANMAR CP LIVESTOCK และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจฟาร์มพืชขนาดใหญ่ ธุรกิจธาตุอาหารพืช ธุรกิจเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด ธุรกิจฟาร์มโปร และธุรกิจผักปลอดภัยขั้นสูง

ในรายงานการคาดคะเนทิศทางการเติบโตของตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในเมียนมา Myanmar Maize Seed Market – Growth, Trends and forecasts (2023 – 2028) วิเคราะห์ไว้ว่า จำนวนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในรัฐฉาน เมียนมา เพิ่มสูงขึ้นเป็น 3 เท่าตัวในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้กลายเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของพื้นที่

คุณอาจสนใจ